Saturday, September 5, 2009

ลูกอมไทยพาณิชย์

เมื่อวันพุธที่แล้วได้ไปฝากเงินที่ธนาคารไทยพาณิชย์แถวพระราม 3 เหลือบไปเห็นลูกอมวางไว้อยู่บนเคาเตอร์ ดูไปดูมามันเขียนด้านหน้าว่า บริการด้วยใจ ส่วนด้านหลังเป็นชื่อ ธนาคารไทยพาณิชย์ เห็นแล้วก็แปลกดีเดี๋ยวนี้ธนาคารเขาถึงขนาดต้องทำลูกอมยี่ห้อธนาคารตัวเองแล้วหรอ ถ้าเราถอดความหมายสัญญะที่มันแฝงอยู่ใน package ลูกอมนั้นบางทีเขาอาจต้องการสร้างภาพแสดงความรู้สึกที่เป็นกันเองดู ดูจริงใจกับลูกค้ามั้งจากข้อความที่ว่า บริการด้วยใจ แต่ไม่ได้หยิบมากินอะแค่เหลือบไปเห็นอยากรู้ว่ารสชาติจะเป็นยังไง เดี๋ยววันหลังจะไปลองหยิบมากินดู รูปไปเอาของคนอื่นมาอีกที
รูป credit: http://mymoney.wordpress.com/2007/04/30/photo-of-scb-candy

Sunday, August 30, 2009

Skirt,Legging = Men

ถ้าเราทำมายแมพสมมุติได้หัวข้อ " Skirt กับ legging" พวกเราคงจะโยงเส้นมาแล้วเขียนว่าผู้หญิงใช่ไหม ทุกคนคงจะคิดว่า skirt กับ legging คงจะเป็นของเอาไว้สวมใส่เฉพาะผู้หญิงคงไม่มีใครเขียนว่าผู้ชายใส่เพราะคงไม่มีผู้ชายที่ไหนคิดจะใส่มัน ในวันนี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมาดูร้านเสื้อออนไลน์เว็บนู๊นนี้ไปเรื่อยไปเจอสองสามเว็บที่อยู่ดีๆก็ออกแบบกระโปรงกับ legging สำหรับผู้ชายซะงั้นร้านนี้ขายเสื้อผ้าชายล้วนนะขอบอกไม่มีของผู้หญิง ดูๆไปก็แปลกดีนะเดี๋ยวนี้อยู่ดีๆผู้ชายก็ดันเอาเสื้อผ้าผู้หญิงมาใส่แทนทำไมเขากล้าออกแบบอะไรที่มันดูกลับตาลปัตรขนาดนี้ดูคนละขั้วกันเลย เหมือนกับเราทำมายแมพคำว่า เค็ม แต่ดันเขียนโยงไปที่ น้ำตาล ไรประมาณนั้นมันอาจจะเป็นเพราะว่าเขาอาจจะเห็นแต่รูปแบบเดิมๆของเสื้อผ้าผู้ชายมั้งเลยคิดที่จะลองออกแบบไรใหม่ๆให้มันแหวกแนวไปเลยหลุดจากที่เป็นอยู่ ทำขายทีก็ซื้อได้ทั้งชายทั้งหญิงเหมือนเป็น line เสื้อผ้าแบบ unisex บางทีการคิดให้มันหลุดจากกรอบเดิมมันก็ช่วยให้เกิดสิ่งใหม่ๆได้เหมือนกันนะ แต่ถ้ามันหลุดจากสิ่งเดิมมากเกินไปก็คงต้องใช่เวลามากเลยทีเดียวที่จะอธิบายสิ่งนั้นให้คนเข้าใจ ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดีๆ Skirt,Legging เท่ากับ ผู้ชาย เป็นไปได้ด้วยหรอ

แต่เราคิดว่าแบบนี้ทำขายได้เฉพาะในเว็บไซต์คงจะดีที่สุดละมั้งเพราะมันมีรูปนายแบบใส่ให้ดูคนดูก็จะได้รู้ว่าของผู้ชาย ถ้าทำขายตามร้านจริงเอาไปแขวนตามราวใครจะไปรู้ว่าของผู้ชายถึงจะเอาใส่หุ่นโชว์ก็เหอะเราก็ไม่คิดว่ามันเป็นของผู้ชายอยู่ดี คงคิดว่าร้านนี้มันใส่หุ่นผิดตัวและอีกอย่างจะมีผู้ชายสักกี่คนที่กล้าหยิบกระโปรงกับ legging ไปลองใส่ในร้านก็คงต้องมีอายกันบ้างแหละ เหมือนกับการทำงานออกแบบของเราถ้าเราทำแล้วเลือกสื่อที่ดีในการอธิบายงานของเราคนก็จะเข้าใจสารที่เราจะสื่อ ถ้าเราเลือกสื่อที่ผิดคนที่ดูงานเราก็อาจได้รับสารที่ผิดเช่นเดียวกัน

Saturday, August 29, 2009

คมชัดลึก

ปกติิเราจะอ่านหนังสือพิมพ์คมชัดลึกเกือบทุกวันเพราะที่บ้านสมัครสมาชิก อ่านดูผ่านๆถ้าสนใจเรื่องไหนค่อยเปิดอ่านเรื่องที่สนใจอีกที คนที่อ่านคมชัดลึกบ่อยๆ เคยสังเกตุบ้างไหมว่า layout การจัดวางของหน้าแรกหนังสือพิมพ์มันเปลี่ยนไป เรารู้สึกมานานแล้วหละเกือบปีแต่พึ่งมาเขียนแต่ก่อนหนังสือพิมพ์มันก็จะจัดวางแบบมีรูปภาพสี่เหลี่ยมแล้วก็บล็อคข้อความขนาดปกติเหมือนที่หนังสือพิมพ์ทั่วไปทำใช่ไหม เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าหนังสือพิมพ์มันจะใช้รูปค่อนข้างใหญ่กว่าเดิมมากแบบว่ารูปเดียวแถบจะปาไปครึ่งนึงของหน้ากระดาษหรือไม่ก็ไดคัทรูปซะใหญ่เบอเร่อเอามาแปปไว้แล้วเนื้อหาข่าวที่อยู่หน้าแรกก็รู้สึกว่าจะน้อยลงกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเขาขี้เกียจหรือเกิดอะไรขึ้นถึงเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้จะว่าข่าวเดี๋ยวนี้น้อยลงก็ไม่น่าจะใช่ บางทีการพาดแค่ข้อความใหญ่ๆสำหรับหนังสือพิมพ์ที่เป็นแพทเทิร์นแบบเดิมๆอาจจะไม่พอที่จะ impact คนแล้วเลยต้องเพิ่มรูปใหญ่ๆเข้าไปด้วยเพื่อให้คนเกิดความสนใจก็เป็นไปได้แต่ไม่รู้ว่าใช่ไหมแค่ลองคิดเล่นๆดู

Monday, August 24, 2009

โฆษณาของ TAT

ตอนนี้เมืองไทยมีการโปรโมทโครงการท่องเที่ยวของประเทศไทย Tourism Authority of Thailand (TAT)โดยใช้ศิลปินไทยที่ไปดังในเกาหลีคนหนึ่งคือ นิชคุณ โดยโฆษณานี้จะเอาไว้โปรโมทการท่องเที่ยวไทยในประเทศเราเองและประเทศอื่นแต่ไม่รู้ว่าประเทศไหนบ้าง ความรู้สึกของเรานะเราว่ารัฐบาลคิดผิดอะที่เลือกเขาคนนี้มาโปรโมทการท่องเที่ยวของไทย ลองคิดดูนะว่าภาพลักษณ์ของศิลปินคนนี้ทุกคนไม่ว่าประเทศไหนก็รู้อยู่ว่าเป็นศิลปินเกาหลีถึงจะเป็นคนไทยก็เหอะประเทศอื่นเขาก็รู้จักนิชคุณก็เพราะเป็นศิลปินประเทศเกาหลีถามว่า อินโด ลาว เวียดนาม ฟิลิปปินส์ จีน หรือประเทศไหนก็ตามถ้าดูโฆษณานี้ผ่านๆรู้ไหมว่าท่องเที่ยวประเทศอะไรเราว่าเขาก็ต้องคิดว่าเป็นเกาหลีแน่นอนเพราะเห็นนิชคุณอยู่ในโฆษณากลายเป็นเกาหลีได้ประโยชน์แทน หรือไม่ประเทศอื่นอาจจะสงสัยว่าทำไมโฆษณาการท่องเที่ยวไทยแต่ไปเอาศิลปินเกาหลีมาเป็นพรีเซนเตอร์จะมีสักกี่ประเทศกันที่รู้ว่าศิลปินคนนี้คือคนไทยก็มีแต่คนไทยด้วยกันเท่านั้นแหละที่รู้คนประเทศอื่นเขาไม่สนใจหรอกขนาดศิลปินในประเทศเราที่เป็นลูกครึ่งบางคนออกมาหลายอัลบัมแล้วเรายังไม่รู้เลยว่าเขาเป็นลูกครึ่งอะไรถูกไหม เราคิดว่าทำไมไม่เอาศิลปินในประเทศที่มีผลงานในประเทศด้วยมาโปรโมทแทนจะได้โปรโมทศิลปินคนนี้ไปในตัวเพราะการโปรโมทครั้งนี้มีการทำเพลงให้ศิลปินเพื่อร้องประกอบโฆษณาด้วยอย่างเช่น ทาทา ยัง ไหนๆก็ออกอัลบัมใหม่ไปแล้วก็เลือกมาโปรโมทการท่องเที่ยวไทยซะเลยคราวนี้เมืองไทยได้ 2 ต่อซะด้วยซ้ำทุกคนรู้ว่าทาทาเป็นศิลปินในประเทศไทยแถมตอนนี้ก็กำลังออกอัลบัมใหม่โปรโมททีดียวดังทั้งศิลปินดังทั้งประเทศ

Sunday, August 23, 2009

รวมวัฒนธรรม

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้ไปกินอาหาญี่ปุ่นที่ zen แถวเซนทรัลพระราม 2 ระหว่างนั่งกินไปก็ฟังเพลงที่เปิดอยู่ในร้านนั้นก็งงๆว่าทำไมร้านอาหารญี่ปุ่นแต่เปิดเพลงเกาหลีในร้านก็ไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อวันศุกร์ที่แล้วก็ได้ไปกินฮะจิบังที่เดียวกันฟังเพลงในร้านมันก็เปิดเพลงเกาหลีในร้านเหมือนกัน พอเย็นๆได้ออกไปปริ๊นงานที่ MBK วันนั้นมันมีงานออดิชั่นไรสักอย่างชื่องาน J-Trends ไรสักอย่างชื่องานก็บอกอยู่แล้วว่า J แสดงว่ามันต้องเกี่ยวไรกับญี่ปุ่นใช่ไหมแต่ก็เห็นมีเด็กไปเต้นเพลงศิลปินเกาหลีในงาน ตอนนี้เริ่มสงสัยแล้วว่า 2 วัฒนธรรมนี้ในประเทศไทย ทั้งเกาหลีกับญี่ปุ่นมันรวมกันเป็นหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทั้งๆที่ญี่ปุ่นเองบางส่วนค่อนข้างแอนตี้ศิลปินเกาหลีขนาดศิลปินเกาหลีที่ไปออกอัลบัมภาษาญี่ปุ่นเวลาขาย CD ยังถูกเอา CD ไปรวมฝั่งศิลปินต่่างประเทศเลยไม่รวมกับแผง CD ญี่ปุ่นทั้งๆที่เป็นเพลงภาษาญี่ปุ่นค่ายเพลงก็ญี่ปุ่น เกาหลีบางส่วนก็เกลียดญี่ปุ่นเพราะญี่ปุ่นเคยระรานเกาหลีมาก่อนโดยเกาหลีถูกญี่ปุ่นยึดครองตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงขนาดว่าให้เกาหลีเปลี่ยนชื่อประเทศจาก Corea เดิมที่ใช้ตัว C ให้มาใช้ตัว K แทนเนื่องจากญี่ปุ่นเห็นว่าอักษร C ในภาษาอังกฤษมาก่อนตัว J ที่มาจาก Japan เลยบังคับให้เกาหลีเปลี่ยนมาใช้ K ซึ่งตัวอักษร K ในเกาหลีมันอยู่หลัง J นั้นเองเหมือนกำลังพยายามบอกว่าชาตินี้อย่าหวังมาอยู่เหนือตูประมาณนั้น ความชัดเจนของ 2 วัฒนธรรมนี้จริงๆแล้วเราว่ามันค่อนข้างชัดนะแต่บ้านเราทำไมถึงนำมันมารวมกันก็ไม่รู้จนกลายเป็นเรื่องปกติไป

Saturday, August 22, 2009

Barcode

เรารู้สึกอารมณ์เสียมากเมื่อเห็นของที่ร้านค้าชอบติดสติ๊กเกอร์ barcode เอาไว้ที่ตัวของหรือตัวผลิตภัณฑ์นั้นเช่นพวก ปากกา กระดาษ หนังสือ หรืออะไรก็ตาม เพราะเวลาที่เราจะแกะออกมันแกะยากในบางชิ้นและที่สำคัญคือมันชอบมีคราบสติ๊กเกอร์ติดอยู่ด้วยถ้าเราแกะออกไม่ดีพอเช็ดออกก็ยิ่งเละกว่าเดิมอีก คนขายของเขาเคยนึกบ้างหรือเปล่าว่าสิ่งนี้มันเป็นปัญหาสำหรับเราที่จะต้องมานั่งแกะ barcode ออก ตอนเขาติดรู้บ้างไหมว่าทำให้ของมันเสีย แค่อยากบ่นไม่มีอะไร

Friday, August 7, 2009

ถือหนังสือทำไมกัน!

เคยสังเกตุบางไหมในมหาลัยจะมีนักศึกษาบางคนที่ชอบถือหนังสือมาเรียนดูแล้วเหมือนจะปกตินะถ้าถือเล่มเดียวอาจเป็นเพราะว่าเขาเรียนแค่วิชาเดียวขี้เกียจถือกระเป๋ามามันเกะกะ แต่ที่เขียนในครั้งนี้คือเราเห็นอยู่บ่อยๆพวกนักศึกษาหญิงบางคนอะมือนึงถือหนังสือ 2-3 เล่มเลยนะแต่อีกมือนึงห้อยกระเป๋าสวยๆ บางคนกระเป๋าก็ใหญ่พอที่จะใส่หนังสือได้นะแต่กลับไม่ใส่เห็นยอมถือหนังสือแทนมันดู contrast กันไงไม่รู้กระเป๋าก็มีไว้ให้เราใส่ของเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเป็นภาระแต่ก็ยอมที่จะเมื่อยมือถือหนังสือมันแทน มันกลายเป็นว่าฟังก์ชั่นของกระเป๋ามีความจำเป็นน้อยลงคนไม่อยากเอาของใส่อาจเป็นเพราะว่าต้องการโชว์แค่ความสวยของกระเป๋าหรือไงไม่รู้ เราก็เคยถามพี่เราเหมือนกันเพราะเขาก็ชอบทำอย่างงี้ทำไมไม่เอาหนังสือใส่กระเป๋าไปอะก็เห็นถือกระเป๋าอยู่ทำไมไม่ใช้ให้เป็นประโยชน์ จะถือหนังสือให้เมื่อยทำไม เขาบอกเราว่าพอเอากระเป๋าใส่แล้วมันตุงกระเป๋าแล้วอีกอย่างกลัวหนังสือมันยับด้วย เราก็งงๆอะนะเราว่าใช้มือถือหนังสือไปมาทั้งวันมันน่าจะยับมากกว่าอีก ดูเราเป็นคนยุ่งเรื่องชาวบ้านนะจริงๆก็เรื่องของเขาอะนะเขาจะถือหรือไม่ถือจะไปยุ่งทำไมไม่รู้

Sunday, July 26, 2009

Rene magritte

ทความใหม่ๆอยู่ข้างล่างนะอันนี้ปักหมุดไว้อันแรกเอาไว้รวมผลงานที่ได้ inspire จาก Magritte
ตอนนี้รู้สึกชอบศิลปินคนนึงมากชื่อ Rene magritte เรารู้จักศิลปินคนนี้ก็ตอนที่ได้ฝึกงานดิสเพลย์ของ playhound ซึ่ง collection เขาได้แรงบันดาลใจจากศิลปินคนนี้แล้วนำเอกลักษณ์ของงานเขามาออกแบบบนเสื้อ งานของ Rene magritte จะทำออกมาแนว surrealistic คือจะใช้การจัดวางภาพที่เหนือจริงของวัตถุธรรมดาๆอย่างเช่น แอปเปิ้ล นก ชายสวมหมวกโบวเลอร์ ฯลฯ สิ่งแรกที่เห็นแล้วชอบมากคือท้องฟ้าที่เขาเพ้น เขาชอบเพ้นรูปท้องฟ้าบนงานของเขามากเห็นบ่อยเกือบทุกงานจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของศิลปินคนนี้ไปเลย ภาพที่เราชอบสุดคือ decalcomania วันนี้เลยนั่งทำภาพแนวเขาเล่นๆไม่มีอะไรหรอก ดูเหมือนว่างนะเรา Thesis, Comdesign, Retouch, Contem,Ad ยังไม่ทำมานั่งทำนี้เล่น 555
เพิ่มเติมนี่ไปเจอมาคล้ายๆที่ playhound ทำแต่เป็นเสื้อของต่างประเทศอยากได้ตัวเมฆอะ


อันนี้เป็นภาพจาก lookbook S/S 09 ของ Play เจ๋งทั้งของผู้ชายผู้หญิงแต่ของผู้หญิงใครจะกล้าใส่วะ

อันนี้ร่มของ Tibor Kalman คนที่ทำนิตยสาร Colors อะ เข้ากับชุดข้างบนมากใส่ตัวข้างบนแล้วถือร่มคันนี้จี๊ดโคตรแต่ไม่มีขายในไทยมีแต่ใน Moma store

อันนี้รูปจากนิตยสาร Zink ของชั่งภาพ Andrew Matusik ได้แรงบันดาลใจจาก Magritte เหมือนกัน

อันนี้ของนิตยสารดิฉัน หาตั้งนานกว่าจะเจอรูป (คลิกดูรูปใหญ่เอา)



อันนี้หน้าจอ Destop ตัวเองกับฝาพับจอคอมเอาสติ๊กเกอร์แปะ ว่าจะหาซื้อหมวกโบวเลอร์มาใส่เล่น 555 ช่วงนี้บ้าไปแล้ว

Saturday, July 25, 2009

BNE

เวลานั่งรถไปแถวถนนสุขุมวิทหรือบริเวณรอบๆย่านนั้นเคยสังเกตบ้างไหมอะว่ามันจะชอบมี graffiti ที่เขียนว่า BNE เต็มไปหมดเลยทั้งบนเสาไฟฟ้า กำแพง หรือตามตู้ต่างๆที่เห็นคือมีทั้งแบบสเปรย์พ่นเป็นตัวอักษรอย่างเดียวหรือบางที่ก็จะมีรูปมงกุฏอยู่ด้วยหรือไม่บางที่ก็จะเป็นสติ๊กเกอร์แปะเอาไว้เขียน BNE was here เราเห็นมานานแล้วนั่งหาข้อมูลไปเรื่อยก็ยังไม่มีคำตอบที่แน่นอนว่าใครเป็นคนทำกันแน่เพราะสัญลักษณ์นี้ถูกพ่นในหลายประเทศมากทั้งโตเกียว,อเมริกาโดนหมดไทยก็ยังโดนเห็นเขาบอกกันว่ามันจาก graffiti ที่ชื่ benet แต่เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ไม่มีใครทราบถึงข้อมูลตัวเขา ปกติคนที่ชอบพ่น graffiti ส่วนใหญ่ที่เรารู้คือเขาพ่นเพื่อแสดงขอบเขตในถิ่นของตัวเอง บ้างก็พ่นเพราะความสนุกมือไม่ก็ต้องการระบายหรือทำเป็นงานศิลป์ไว้ชื่นชมแล้วเก็บสถิติเอาไว้แบบว่าได้ไปแปะที่นู่นที่นี่มา อย่างของไทยที่เรารู้จักก็คือศิลปินที่ใช้ฉายาว่า P7 เห็นสติ๊กเกอร์เขาบ่อยเหมือนกันตามทางเดินแถวสกายวอล์คเคยเห็นงานเขา เขาเอาสติ๊กเกอร์ไปแอบแปะตามที่ต่างๆตามออสเตเลียแล้วอัดวีดีโอไว้แต่ที่เขาทำมันมีจุดประสงค์ แต่คนที่พ่น BNE นิก็ไม่รู้จุดประสงค์ของเขาเหมือนกันว่าพ่นเพราะอะไรทำไมต้องพ่นตามประเทศต่างๆ ไม่เคยแสดงตัวตนให้คนอื่นรู้ว่าเป็นใครงงเหมือนกันลองสังเกตดีย่านละแวกนั้น สุขุมวิท เอกมัย ทองหล่อ ชิดลม สยาม มีหมด BNE

Friday, July 24, 2009

เกาหลีก็ก๊อปไทยเหมือนกัน

นั่งเปิดเว็บเสื้อออนไลน์ไปๆมาๆเจอเฉยเลยคนไทยโดนเกาหลีก๊อปลายเสื้อ
http://www.dahong.co.kr/shopping/GoodView_Item.asp?Gserial=383249
http://www.dahong.co.kr/shopping/GoodView_Item.asp?Gserial=379120
เสื้อตัวบนก๊อปของ Playhound อะส่วนตัวข้างล่างก๊อปของ Greyhound ตัวข้างล่างกราฟิกจะเขียนคำว่า Grrr อยู่ในนั้นมันเป็นเสียงของสุนัขเวลาขู่ Display ร้านที่พารากอนก็เป็นหลอดไฟที่เขียนคำว่า Grrr อยู่เหมือนกราฟิกบนเสื้อ มันแสดงให้เห็นว่าของไทยก็ดีใช่ย่อยนะเกาหลียังก๊อปแบรนด์ไทย ลองไปดูในร้านของไทยมีทั้งสองตัวเคยเห็นแต่สั่งจากเว็บเกาหลีน่าจะถูกกว่านะ บริษัทเขารู้เขาจะดีใจหรือเสียใจดีเนี่ย 555 ก๊อปกันไปก๊อปกันมา

Thursday, July 23, 2009

กฏของเมอร์ฟี่่--ความซวยมักมาหาเราเสมอ

วันนี้นั่งอ่านบทความเกี่ยวกับ กฏของเมอร์ฟี่่ คือ มันมักจะมีเรื่องซวยอะไรบางอย่างกับเราจากการที่เราตั้งใจจะทำบางสิ่งตลอดเวลา "กฎของเมอร์ฟี่" หมายถึง "อะไรถ้ามันมีโอกาสจะเลวร้าย มันก็มักจะมีโอกาสเกิดขึ้นเสมอ"("If anything can go wrong, it will") เช่น มีร้านอาหารแห่งหนึ่ง เปิดขายมาเป็นสิบๆปี เราไม่เคยไปกิน แต่พอเราจะไปกิน... ร้านดันปิดเป็นต้น กฎของเมอร์ฟี่ (Murphy's Law) ไม่มีที่มาที่ไปแน่ชัด แต่เชื่อว่าครั้งแรก ถูกตั้งมาจาก Capt. Edward A. Murphy ในปี 1949 ณ Edwards Air Force Base จากการทดลองอย่างหนึ่งเมอร์ฟี่ได้กล่าวประชดช่างเทคนิคไว้ว่า "If there is any way to do it wrong, he'll find it." บางกระแสก็ว่า เป็นกฏตลกๆที่ตั้งมาโดยชาวไอริช แต่ไม่ว่าจะมีที่มาที่ไปอย่างไร แต่มันก็เกิดขึ้นกับคนเราทุกคน ซึ่งมันก็เกิดขึ้นกับเราตอนที่เราจะปริ๊นสติ๊กเกอร์รูปผู้ชายที่สวมหมวกโบวเลอร์มาแปะคอม ปกติเครื่องปริ๊นมันจะมีถาดให้ดึงเพื่อรับงานปริ๊นที่กำลังจะออกมาใช่มะ เครื่องปริ๊นเราตั้งอยู่สูงจากพื้นนิดหน่อยตอนนั้นก็คิดว่าขี้เกียจดึงมันออกเดี๋ยวพอมันปริ๊นออกมาก็รีบรับเอา ปรากฏว่าพอมันปริ๊นเสร็จเราดันรับมันไม่ทันสติ๊กเกอร์มันดันคว่ำหน้าแปะกับพื้นเลยพอดึงขึ้นมาภาพนี่เละเพราะสีมันก็ยังไม่ค่อยแห้งและมันก็เปื่อนพวกเศษฝุ่นเล็กๆตามพื้นด้วยเลยต้องปริ๊นใหม่หมด กับอีกเรื่องนึงคือพอเราอยากจะดูรายการทีวีอะไรสักรายการนึงพอนึกได้แล้วเปลี่ยนช่องทีไรรายการมันชอบจบแล้วทุกทีไม่รู้เป็นอะไร แต่จริงๆแล้วมันอาจจะเป็นแค่เรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ในชีวิตเราแต่เรามักจะเลือกโฟกัสเฉพาะเรื่องที่มันไม่ดีกับตัวเราเสมอเพราะเรื่องที่มันเกิดขึ้นปกติกับเรามันคือสิ่งที่เรียกว่าความเคยชินเราเลยไม่ได้สนใจมันมาก

กฎของเมอร์ฟี่ มันยังมีความสอดคล้องกับกฏต่างๆอีกนะเอาบางตัวอย่างมาให้ดู
1.กฎความเป็นไปได้
ขนมปังทาเนย ที่พลัดตกพื้น จะคว่ำด้านหน้าที่มีเนยลงเสมอ และโอกาสที่เนยตกเปื้อนพรมจะมีมากขึ้นเป็นส่วนกับราคาของพรม..
2.การดูดวง
หมอดูมักทำนายหลายเรื่อง ทั้งดีและเลว แต่เรื่องที่แม่นที่สุด คือเรื่องที่เลวที่สุด..
3.กฎแห่งความแม่นยำ
หากขว้างก้อนหิน สะเปะสะปะ มันจะพุ่งตรง เข้าหาวัตถุ ที่มีราคาแพงที่สุด..
4.กฎของหาย
ของใช้ที่เราเห็นทุกวัน จะหายในยามที่เราต้องการใช้มัน..
5.กฎของเมธี
เลขเด็ด ที่เราไม่ซื้อ คือเลขที่จะออกงวดนั้น และ หวยที่เราซื้อมักใกล้เคียงกับหวยที่ออกหากได้บวก ลบ คูณ หาร ด้วยเลขอะไรสักตัว หรือกลับหน้ากลับหลัง
6.กฎห้ามพูด
ทันทีที่คุณพูด แสดงความคาดหวัง ถ้าหวังสิ่งเลว สิ่งเลว..จะมาหาและถ้าหวังสิ่งดี สิ่งเลว ก็จะมาหา..
7.กฎของโฮว์ ( Howe's Law )
มนุษย์ทุกคน มักจะทำอะไรไม่สำเร็จ..
8.กฎของไซเมอร์กี้
ถ้าคุณรื้อชิ้นส่วน ออกมาประกอบใหม่ จะมีน็อตเหลือเสมอ..
9.ข้อสังเกตของอีตัวร์ (ชื่อคนนะ)
รถเลนข้างๆ มักเคลื่อนตัว ดีกว่าเลนของเรา..
10.ข้อเท็จจริงขององค์กรในทุกหน่วยงาน
มักมีพนักงาน คนหนึ่ง และคนเดียว ที่มองเห็นปัญหา ที่แท้จริงขององค์กรและคนๆนี้จะถูกไล่ออกเสมอ..
11.กฎการโต้เถียง
คนที่พูดน้อยคือคนที่รู้มาก..
12.กฎการทำงานเป็นทีม
เมื่องานยุ่งยาก ทุกคนผละหนี..

Tuesday, July 21, 2009

การตลาด

วันนีี้ไปหาซื้อซีดีเพลงที่ B2S จะไปดูว่ามี CD อะไรออกใหม่บ้างระหว่างนั้นก็มีผู้หญิงคนนึงมาหาดู CD เพลงเหมือนกันซึ่งเห็นยืนดูก่อนหน้าเราสักพักแล้ว เห็นเขาถือ CD เพลงของ Shinee ที่พึ่งออกใหม่อยู่ 5 แผ่นตอนนั้นก็ไม่ได้สงสัยอะไร ไอ้เราเห็นก็เออซื้อเก็บไว้สักแผ่นนึงดีกว่า พอดูบนแผงเราพึ่งเห็นว่าปกหลัง CD มันทำออกมา 5 แบบเป็นรูปศิลปินแต่ละคนในวงแต่ปกหน้าเหมือนกันหมด ก็คิดได้ว่า อ๋อเมื่อกี้ที่ผู้หญิงคนนั้นถืออยู่ 5 แผ่นเพราะอย่างงี้นี้เองโดนแผนทางการตลาดหลอกล่อซะและ ไอ้เราก็หยิบมาแผ่นนึงเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้เลือกว่าจะเอาปกหลังเป็นใครเพราะยังไงเราก็ไม่คิดจะแกะซิลมันมาดูอยู่ดีว่าข้างในมันต่างกันหรือเปล่า เดี๋ยวนี้คนคงซื้อ CD เพลงกันน้อยเขาก็คงต้องหากลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆเพื่อที่จะได้หลอกล่อคนให้มาซื้อเพราะเขาคงรู้ว่ายังไงๆคนที่ไม่ซื้อ CD ลิขสิทธิ์จะทำยังไงก็ไม่ซื้อวันยังค่ำ ฐานลูกค้าเขาส่วนใหญ่ก็คงจะมีเฉพาะพวกแฟนคลับหรือคนบางกลุ่มที่ซื้อแผ่นจริงเป็นหลัก ดังนั้นสิ่งที่จะเพิ่มยอดขายเขาได้คือการทำปกหลายๆแบบอย่างน้อยกลุ่มแฟนคลับที่เขาต้องการสะสมยังไงๆก็ยอมที่จะจ่ายอยู่ดีเพื่อซื้อให้ครบทุกแบบ กับอีกวิธีนึงคือมีของแถมเพิ่มเพื่อกระตุ้นยอดขายเช่น ที่ห้อยโทรศัพท์,Photobook,โปสเตอร์ เป็นต้น แบบซื้อ CD แผ่นนึงก็แถมของแบบต่างๆไม่เหมือนกันกลายเป็นว่าคนซื้อของที่แถมแทนซื้อ CD เป็นต้น

Monday, July 20, 2009

พรสวรรค์ หรือ การฝึกฝน


Carpenters าเปิดหาใน youtube สักพักก็ไปเจอคลิปวีดีโอของเด็กคนนึงอายุแค่ 12 ปีแต่เล่นกีตาร์เก่งมากเขาเล่นเพลงต่างๆแล้วเอามาลงในยูทูปเพลงที่เล่นคือเพลง Yesterday once more นั่งฟังไปก็เพลินดี นั่งคิดว่าทำไมเด็กคนนี้มันเก่งจังเลยวะ ตอนเราอายุ 12 ปียังทำไม่ได้เหมือนเขาเลยฟังแล้วก็อยากลองเล่นกีตาร์เป็นเหมือนกัน ก็นั่งอ่านคอมเม้นที่เขาเขียนกันสักพักก็เห็นมีบางคนเขียนว่าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์จิงๆ เลยลองคิดว่าพรสวรรค์มันมีจริงๆหรอเราไม่เคยเชื่อเลยตลอดชีวิตว่าการที่คนเราจะทำบางสิ่งได้ดีส่วนหนึ่งมันมาจากพรสวรรค์ที่ติดตัวมา เราคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างมาจากการฝึกฝน 100% ไม่มีพรสวรรค์ ไม่มีพันธุกรรมมาเกี่ยวข้อง เราอาจจะทำในสิ่งๆนั้นที่เราชอบบ่อยๆจนเกิดความชินจนเราลืมไปว่าสิ่งที่เราทำเนี่ยแหละเป็นการฝึกฝนตัวเราเองให้พัฒนาในเรื่องนั้นอยู่ ลองคิดดูว่าจริงไหมเด็กคนนี้คงไม่ได้เกิดมาแล้วจับกีตาร์เล่นเองเป็นโดยไม่ได้อ่านโน้ตเพลงหรือฟังเพลงนั้นมาก่อนหรอกว่าไหม

Friday, July 17, 2009

Fashion กับ Function

เวลาเล่นเน็ตเว็บที่ตัวเองจะเข้าไปเปิดดูทุกวันคือเว็บเพลงญี่ปุ่นกับเว็บเสื้อผ้าเกาหลีดูมันได้ทุกวันว่ามันมีเพลงหรือเสื้อผ้าใหม่ๆอะไรอัพเดตบ้าง ปกติโปรแกรม Safari ที่เอาไว้ใช้เล่นเน็ตจะมีหน้าต่าง show top sites ที่เราเข้าไปดูบ่อยๆเป็นเหมือนหน้าต่างเล็กๆเรียงกันเป็นแถว ปกติก็ไม่เคยจัดมันเหมือนกันวันนี้มาลองจัดดูคราวๆเพื่อจะปักหมุดเว็บที่ตัวเองเข้าบ่อยๆ พอจัดเสร็จมานั่งดูรวมๆเว็บที่ตัวเองเข้าบ่อยเกินครึ่งเป็นเว็บของเกาหลีแทบทั้งสิน ที่จำความได้เราบริโภคสื่อต่างประเทศพวกนี้มาตั้งแต่ประถม เริ่มแรกรู้สึกว่าตัวเองชอบโปเกมอนตั้งแต่ ป.6 ตั้งแต่นั้นก็เริ่มอ่านการตูนญี่ปุ่นเรื่องนู้นเรื่องนี้ลามไปฟังเพลงพวก anime จากการ์ตูนและเกมต่างๆ พอฟังเพลงมากขึ้นก็เริ่มหาศิลปินที่ตัวเองชอบก็ฟังทั้งเพลงสากลและเพลงญี่ปุ่นคู่กันไป ฟังไปได้สักพักเริ่มเปลี่ยนแนวมาฟังแต่เอเชียนอย่างเดียวญี่ปุ่นล้วนๆ รู้สึกว่ารู้จักวัฒนธรรมเกาหลีมาจากเกม Ragnarok และเกมออนไลน์ต่างๆเนี่ยแหละตั้งแต่อยู่ ม.1 จำได้ว่าเล่น ragnarok แล้วเพลงเกาหลีมันก็เริ่มเข้ามาประมาณ ม.5 - ม.6 พร้อมๆกับละครแดจังกึมที่ทำให้ทุกคนรู้จักเกาหลี แรกๆไม่ชอบศิลปินเกาหลีเลยเพราะคิดว่าเลียนแบบญี่ปุ่นอย่างแรง หลังๆกระแสศิลปินเกาหลีก็เริ่มแรงขึ้นเพราะเกาหลีเอาศิลปินไปตีตลาดญี่ปุ่นหลายคนมากจนกลายเป็นว่าเราฟังทั้งญี่ปุ่นผสมเกาหลีไปโดยปริยายได้ไงก็ไม่รู้ และเริ่มลามมาถึงเรื่องวัฒนธรรมการแต่งตัวเวลาเปิดเว็บเสื้อผ้าเกาหลีทีไรอยากได้นู่นนี่ทุกทีรู้สึกว่าเสื้อผ้าผู้ชายประเทศเขาแบบมันดูหลากหลายมากกว่าประเทศไทย ประเทศเขาผู้ชายอาจจะบริโภคเสื้อผ้าเพราะ Fashion มากกว่า Function เขาเลยให้ความสำคัญกับการออกแบบต้องทำแบบอะไรที่มันดูแปลกๆใหม่ๆตลอดเวลาให้ทันตามสมัยนิยม ต่างจากประเทศไทยที่ผู้ชายซื้อเสื้อผ้าที่ Function มากกว่า Fashion แบบใส่ได้ดูดีนิดหน่อยก็พอแล้วเสื้อยืดกางเกงยีนส์จบ (ถ้าถามว่ารู้ได้ไงผู้ชายประเทศเขาเสพ Fashion เยอะกว่า ปกติเว็บขายเสื้อผ้าของเกาหลีจะมีหน้า review ที่ให้ลูกค้าที่ซื้อไปใส่ถ่ายรูปแล้วเอามาลงให้ดูมีแต่คนแต่งตัวดีๆกันทั้งนั้น หรือไม่ก็ลองดูเสื้อผ้าศิลปินเกาหลีแต่ละคนเทียบกับศิลปินไทยเขาให้ความสำคัญกับ costume ขนาดไหนลองเทียบดูเอาเอง) นี่เลยเป็นข้อแตกต่างในสังคมบ้านเรากับประเทศเพื่อนบ้านเพราะบ้านเรายังไม่ค่อยให้ความสำคัญกับงาน Design เท่าที่ควรทั้งๆที่ในชีวิตประจำวันของเราก็ล้อมรอบไปด้วยสิ่งพวกนี้แทบทั้งสิ้นแต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ตัว ณ ตอนนี้เราคงถูกครอบงำทางวัฒนธรรมไปแล้ว อาจเพราะวัฒนธรรมไทยมันมีภูมิคุ้มกันไม่ค่อยเข้มแข็งมั้งเราเลยติดกับภาพวัฒนธรรมต่างประเทศมากกว่า

Monday, July 13, 2009

ปัญหาการใช้ห้องน้ำของผู้ชาย

เวลาเข้าห้องน้ำชายส่วนใหญ่เป็นกันบ้างหรือเปล่า ---1.เวลาที่เราจะฉี่แล้วถ้าเห็นมีคนใช้โถ๋ๆนึงอยู่แล้วเรามักจะเว้นโถ๋ข้างๆเขาแล้วไปฉี่อีกโถ๋นึงแทนคือจะพยายามไม่ไปยืนฉี่ชิดคนอื่น มันรู้สึกแปลกๆเวลาถ้ามีคนยืนประกบข้างเรา ---2.ก็เคยสังเกตบ้างเปล่าอะว่าบางทีเวลาใช้ห้องน้ำในห้างหรือที่ไหนก็ตามทั้งๆที่โถ๋ฉี่บางทีก็ไม่มีคนแต่จะมีผู้ชายบางคนชอบไปฉี่ในห้องน้ำแทนแล้วเขาเคยรู้ตัวกันบ้างไหมว่าเสียงฉี่ที่มันกระทบกับผิวน้ำมันเกิดเสียงที่อุบาทมากสำหรับเรานะ
อย่างกรณีแรก ที่คนเขาเว้น space ในการฉี่แต่ละโถ๋ที่เราคิดนะเขาต้องการสร้างระยะปลอดภัยหรือเปล่า แบบเวลาที่ไม่มีคนมาอยู่ใกล้ๆมันให้ความรู้สึกที่สะดวกกว่าในการทำภาระกิจของเราหรือมันอาจจะเป็นมารยาทหนึ่งในการใช้ห้องน้ำชายที่เราซึมซับมันโดยไม่รู้ตัวเหมือนกับการที่เราต้องกดชักโครกทุกครั้งทั้งๆที่ไม่มีคนต้องมาบอกเราแต่เรารู้เอง พอลองหาดูในเน็ตฝรั่งเขาถึงกับเขียนกฏการใช้ห้องน้ำชายกันเลยทีเดียวชื่อว่า urinal etiquette มันก็ดูแปลกดีนะว่าเรื่องการฉี่มันก็เป็นปัญหาๆหนึ่งในการใช้ห้องน้ำของผู้ชายได้หมือนกัน วิธีแก้ปัญหานี้ง่ายมากแค่ให้ห้องน้ำแต่ละห้องทำเสาหรือแผงกันในแต่ละโถ๋ฉี่ก็จบ
กรณีีที่สอง เรื่องการที่ผู้ชายบางคนชอบฉี่ในห้องน้ำมากกว่าโถ๋ฉี่ มันอาจจะเนื่องมาจากปัญหาของกรณีแรกก็ได้ที่คนบางคนรู้สึกอึดอัดกับการที่เห็นมีคนอื่นฉี่ร่วมด้วยเลยเข้าไปฉี่ในห้องน้ำแทน มันมีโรคของการกลัวการฉี่ถ้ามีอยู่ในบริเวณที่คนเยอะๆด้วยนะเรียกว่าโรคกลัวการปัสสาวะถ้ามีคนเยอะๆโรคนี้ยังมีอีกหลายชื่อ เช่น pee shy/shy bladder/bashful bladder/paruresis/avoidant paruresis อาการของโรคคือ ไม่สามารถปัสสาวะได้ ถ้ามีคนอยู่ บางคนอาจจะหลายคน บางคคนอาจจะแค่คนเดียว บางคนอาจจะตัวเองคนเดียวอยู่ในห้องน้ำ เป็นต้นหรืออาจจะไม่ได้มาจากสาเหตุข้างต้นเพราะเราก็เคยฉี่ในห้องน้ำเหมือนกันแต่กรณีของเราคือกางเกงเรามันเป็นกระดุมแล้วมันจะต้องใช้เวลาในการแกะกระดุมเลยไม่สะดวกที่จะยืนฉี่ที่โถ๋เลยเข้าห้องน้ำแทนหรืออีกกรณีนึงบุคคลผู้นั้นมีปัญหากับการต้องยืนฉี่หรือถนัดกับการที่จะต้องนั่งฉี่เป็นต้น ก็พอสรุปคราวๆได้แค่นี้นะที่ลองคิดดูแต่ที่รู้คือเราเกลียดเสียงที่คนฉี่กระทบกับผิวน้ำมากได้ยินแล้วรับไม่ได้จริงๆ

Sunday, July 12, 2009

Saturday, July 11, 2009

ความเป็นมาของถั่วดำ

วันนี้แอบได้ยินเพื่อนในห้องคุยกันถึงเรื่องถั่วดำทำไมเขาถึงเรียกผู้ชายที่มีอะไรกับเพศเดียวกันว่า ถั่วดำ บางคนอธิบายซะเห็นภาพเชียวแต่ไม่รู้ว่ามันจริงหรือเปล่าสงสัยเหมือนกันเลยลองหาขอมูลดูในเน็ตคำนี้ฮิตติดตลาดมา ๖๐ กว่าปีแล้ว ต้นเรื่องมาจาก ชายผู้มีชื่อเล่นว่า "นายถั่วดำ" ทำวิตถารกับเด็ก ๆ ดังที่ปรากฏข่าวใน หนังสือพิมพ์ ศรีกรุง ฉบับประจำวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๘
มีรายละเอียดว่า
เมื่อวันที่ ๑๘ เดือนนี้ เวลา ๑๘ น. ร.ต.ท. แสวง ทีปนาวิณ สารวัตร สถานีตำรวจป้อมปราบ ได้จับตัว นายการุณ ผาสุข หรือ นายถั่วดำ ตำบลตรอกถั่วงอก อำเภอป้อมปราบ มาไต่สวนยัง สถานีป้อมปราบเหตุที่นายการุณ หรือถั่วดำ ถูกจับนั้น ความเดิมมีว่า ร.ต.ท. แสวง เห็นห้องแถวเช่า ซึ่งนายถั่วดำ เช่าอยู่ มีเด็กชายตั้งแต่ ๑๐ ถึง ๑๖ ปี อยู่ในห้องมากมาย จึงสงสัยว่า เด็กชายเหล่านั้น จะเป็นเด็กที่ ประพฤติในทางทุจริต ร.ต.ท.แสวง ได้ออกสืบสวนอยู่ ๒-๓ วัน จึงทราบว่า นายถั่วดำ เป็นคนไม่มีภรรยา และเป็นผู้ชักชวนเด็ก ๆ ผู้ชาย ไปดูภาพยนตร์บ้าง ซื้อของเล่นบ้าง ให้ขนมรับประทานบ้าง แล้วก็พากันมาที่ บ้านพัก ของนายถั่วดำ ก็กระทำการ สำเร็จความใคร่ แก่เด็กชาย ที่พามาเสียก่อน และต่อจากนั้นแล้ว ก็จะจัดเด็กเหล่านั้น รับสำเร็จความใคร่ กับแขกบ้าง เจ้าสัว และจีนบ้าบ๋าบ้าง พวกที่มา ต้องเสียเงินเป็นรางวัล ให้แก่นายถั่วดำ เยี่ยงหญิงโสเภณี จากนั้นคำว่า "ถั่วดำ" ก็กลายมาเป็น ศัพท์เฉพาะ ที่รู้ทั่วกันว่า หมายถึง การเสพสมทางทวารหนัก เมื่อต้นปี ๒๕๔๑ ก็มีข่าว ข้าราชการ ชื่อเล่นว่า "ตุ๋ย" ทำมิดีมิร้าย กับเด็กชาย หนังสือพิมพ์ก็ใช้คำ "ตุ๋ย" พาดหัวข่าว แทนความหมายดังกล่าวอยู่พักหนึ่ง
ดังนั้นคำที่เราใช้ในสังคมเรานอกจากแบ่งเป็นคำที่มาจากเสียงของสิ่งต่างๆ คำที่เกิดจากการตกลงกันในกลุ่มสังคม คำที่เกิดจากการประสมของสิ่งสองที่มีรูปร่างลักษณะคล้ายกัน คำที่หยิบยืมมาจากภาษาต่างประเทศแล้ว ก็ยังมาจากเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมนั้นๆอักด้วยที่เป็นตัวบัญญัติภาษาในสังคมนั้นๆ

Thursday, July 9, 2009

ประโยชน์ของการคุย

ตอนเช้าในระหว่างที่นั่งรถมหาลัยจากกล้วยมารังสิตรถของมหาลัยบางคันมันจะมีที่นั่งด้านล่างด้วยแบบรถทัวร์ที่มันจะเป็นเบาะวงกลมแล้วมีโต๊ะอยู่ตรงกลาง ด้วยความประหยัดน้ำมันมากของรถมหาลัยชอบให้เด็กนั่งเบียดกันจนเต็มคันก่อนค่อยออกรถ เราเข้าไปตอนนั้นเบาะด้านบนมันเต็มจึงต้องไปนั่งเบาะวงกลมด้านล่างรวมกับเด็กกลุ่มนึงที่เขานั่งกันอยู่แล้วข้างล่าง ด้วยความที่เบาะมันเป็นวงกลมนั่งรอบกันอยู่สายตาก็ต้องจองมองกับคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเพราะไม่รู้ว่าจะมองไปทางไหน เด็กกลุ่มนั้นเขาคุยกันอยู่ดีๆก็มาชวนเราคุยขึ้นมาว่า"อยู่ปีอะไรเรียนคณะอะไรหรอคับ" พอเราบอกปี 4 เด็กพวกนั้นทั้งผู้ชายผู้หญิงก็ดันมาตกใจเราคิดว่าเราพึ่งอยู่ปี 1 เห็นหน้าเราเด็ก(แอบภูมิใจ) พวกกลุ่มนั้นเขาก็อยู่ปี 1 ไอ้เราก็คิดว่าเป็นรุ่นพี่เราซะอีกเห็นหน้าแก่กว่าแต่พึ่งนึกได้ว่าตัวเองอยู่ปี 4 นี่หว่าจะมีรุ่นพี่ได้ไง555 ระหว่างนั้นเขาก็ชวนคุยเรื่องนู้นนี้ไปสักพักว่าโรงเรียนเก่าเรียนที่ไหน ในคณะเราเรียนไรกันบ้าง กลับรถมหาลัยทุกวันเลยหรอตั้งแต่ปี 1 ทำได้ไง ไอ้เราก็คุยกับเขาด้วยคำถามเดียวกันนั้นแหละก็ได้รู้จักคนนู้นคนนี้เพิ่มขึ้นในวันนั้นมีทั้งคนเรียนบริหาร,บัญชี ปี 1วิศวะอีกคนอยู่ปี 2 ระหว่างคุยไปคุยมามีคนนึงเขาก็ถามเราว่า พี่เคยเดินข้ามสะพานตรงศาลาเรือนไทยหรือเปล่าอะในมหาลัยเห็นเขาบอกว่าถ้าเรานับเป็ดในบ่อได้กี่ตัวแสดงว่าเราจะเรียนจบได้ปีเท่ากับที่เรานับ ก็คุยไปสักพักบางคนก็นับได้สามบ้างสี่บ้างเพื่อนของเพื่อนเขานับได้เจ็ดตัวซวยมากแต่เราก็ไม่เคยนับอะก็แกล้งบอกไปว่าไม่ค่อยได้เรียนตึกแถวนั้นเรียนแต่ตึกคณะตัวเองเลยไม่ได้นับ แต่จริงๆไอ้เราก็พึ่งได้ยินความเชื่อนี้มาก็วันนี้อะเรียนมาตั้ง 4 ปีต้องไปหาเวลาไปนับบ้างและ การที่เราได้รู้จักกับคนใหม่ๆได้คุยกับคนรอบข้างมันช่วยให้เราได้รู้เรื่องสิ่งต่างๆรอบตัวเราได้มากเหมือนกันพอมาลองคิดดูถึงจะคุยเรื่องไร้สาระก็ตามแต่ก็ควรคุยกันถึงเรื่องที่มันมีสาระบ้างเดี๋ยวสมองจะฟ่อกันพอดี หากว่าวันนี้เด็กพวกนั้นไม่มาคุยกับเรา เราก็คงไม่ได้รู้เรื่องพวกนี้ก็ได้

Wednesday, July 8, 2009

ฝันเป็นภาษาอังกฤษ

วันนี้ตื่นขึ้นมาตอนเช้านึกถึงความฝันตัวเองเมื่อคืนเป็นครั้งแรกที่ตัวเองฝันเป็นภาษาอังกฤษคือรู้ว่าตัวเองกำลังพูดภาษาอังกฤษกับคนในฝันอยู่ ในฝันเหมือนกับเรานั่งอยู่ในห้องประชุมไรสักอย่างแล้วก็มีคนชวนเราสนทนาเป็นภาษาอังกฤษตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่จำได้ว่าคำถามนึงคือเขาถามเราว่าชอบสีอะไรในฝันเราก็ตอบไปว่า Black & Blue แล้วคนนั้นก็มาเขียนกระดานในห้องเป็นเหมือนมายแมพว่านึกถึง Blue เราจะนึกถึงอะไรได้บ้างในฝันจำได้ว่าเราเขียนคำว่า water ลงไปจำได้คราวแค่นี้ไม่รู้ว่าเขียนอะไรอย่างอื่นลงไปอีก พอมานึกถึงชีวิตประจำวันของเรา ตอนนี้ก็เรียนอยู่ในด้านออกแบบตอนแรกคิดว่าภาษาอังกฤษคงไม่ค่อยมีความจำเป็นกับเรามากเท่าไหร่นักและตัวเองก็ไม่ค่อยชอบภาษาอังกฤษเท่าไหร่ ให้ฟังก็พอฟังออกแต่พูดไม่ได้มันนึกคำไม่ออกว่าต้องพูดยังไง คิดถึงตอนฝึกงานเหมือนกันเด็กฝึกงานที่บริษัทเป็นฝรั่งสองคนฝึกแผนก design แต่เราอยู่ visual merchandise ทำ display เวลาเดินเข้าบริษัทเจอสองคนนี้เราเสียวมากกลัวมันมาทักเราแล้วแบบเราจะตอบมันไม่ได้เหมือนกันดีนะมันไม่ค่อยชวนเราคุยและวันนึงก็ได้ออกไปกินข้าวข้างนอกพี่ที่แผนก design กับพี่ในแผนกเราก็ชวนเราออกไปกินข้าวข้างนอกนั่งโต๊ะกันเลย 6 คนมีเรากับฝรั่งสองคนไปกินด้วย ตอนนั้นนั่งกินข้าวกันไปเขาก็ spoke กันเป็นภาษาอังกฤษกับเด็กฝรั่งสองคนนั้นในวงรู้สึกว่าตัวเองดูง้อยมากเลยทำไมฟังออกแต่เราพูดไม่ได้เหมือนเขาบ้างวะ วันนั้นก็รู้สึกเสียselfไปเลย พอมาเรียน com5 ปัจจุบันอาจารย์ก็พูดศัพท์ไทยบ้างอังกฤษบ้างที่มันจำเป็นจะต้องรู้อะก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง ตอนนี้ก็เริ่มรู้แล้วหละว่าภาษาอังกฤษมันก็มีความจำเป็นจริงๆไม่ว่าจะเรียนสาขาไหนก็ตามถ้าเรียนจบแล้วก็อยากเรียนภาษาให้แน่นๆอยู่หมือนกัน ถ้าอยู่ในวงการการทำงานจริง ระหว่างคนที่ออกแบบเก่งอย่างเดียวกับคนที่พูดอังกฤษได้ด้วยแล้วก็ออกแบบได้ดีด้วยเขาก็คงต้องเลือกอย่างหลังอยู่แล้วเขาคงไม่มานั่งดูแต่ port สวยๆอย่างเดียวหรอกมั้ง

Tuesday, July 7, 2009

HayHa

เวลาเราดูทีวีหากไม่มีรายการอะไรสนุกๆดูเราชอบเปลี่ยนช่อง hayha รายการตลก 24 ชั่วโมงของ True vision อยู่เป็นประจำดูๆไปก็ขำบ้างไม่ขำบ้างส่วนใหญ่จะเป็นรายการเก่าๆ การที่เราได้ดูรายการเก่าๆพวกนี้มันช่วยให้เราเห็นภาพสังคมสมัยก่อนได้ค่อนข้างมากเลยทีเดียว ตั้งแต่การแต่งตัวคณะตลกสมัยก่อนแต่งตัวค่อนข้างเรียบร้อยกันนะบางคณะก็ใส่สูทกันทุกคนเลย บางคณะก็สั่งตัดชุดแบบเดียวกันทั้งคณะท่าทางจะมีรายได้มากอยู่เหมือนกันคนที่เล่นตลกสมัยก่อน แต่เสื้อผ้าที่ใส่ตัวใหญ่โค่งมากสูทนี้ก็ไม่พอดีตัวเอาซะเลย มุขตลกสมัยก่อนก็ใช้คำหยาบเยอะมากเหมือนกันเล่นมุขใต้สะดือก็เยอะอยู่แต่ก็โดนเซนเซอร์ไปเยอะในทีวี คำแต่ละคำที่เป็นศัพท์ที่ใช้ในยุคนั้นแต่ยุคนี้ไม่ได้ใช้แล้วก็มีเหมือนกันเช่นคำว่า จ๊าบ(แปลว่าเท่) ไรโน่(แปลว่าแรด) เป็นต้น สมัยนี้คงไม่มีใครนิยมใช้คำพวกนี้แล้วมั้งถ้าใช้คงจะหาว่าบ้านนอกมาก พอมาดูในยุคปัจจุบันทุกอย่างก็ดูกลับตาลปัตรกันหมดตลกสมัยนี้ที่รวมเป็นคณะก็ดูไม่ค่อยได้รับความนิยมเหมือนสมัยก่อนสมัยนี้แยกเดี่ยวดูจะดังกว่าขายเป็นกลุ่มซะอีก การใช้ภาษาก็ดูดีกว่าสมัยก่อนคำหยาบๆก็ไม่ค่อยใช้กันนะรู้สึกอาจจะเป็นเพราะพวกนี้ต้องออกสื่อทางทีวีเลยใช้คำหยาบไม่ค่อยได้มาก การแต่งตัวสมัยนี้ก็ใส่อะไรให้มันเข้ารูปพอดีตัวหลวมๆโค่งๆเหมือนสมัยก่อนก็ไม่ค่อยได้เห็นกันแล้ว ดูๆไปมันก็ทำให้รู้ว่าทุกสิ่งถูกอย่างมันมีช่วงเวลาในตัวของมันเองไม่มีอะไรที่ยั้งยืนไปตลอด พอถึงจุดๆนึงมันเกิดการอิ่มตัวมันก็พร้อมจะเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา

Sunday, July 5, 2009

กินข้าวแล้วโง่จริงไหม

วันนี้ได้ออกไปกินข้าวกลางวันนอกบ้าน ก่อนหน้านี้เคยพูดเปลยๆกับที่บ้านไว้ว่าอยากกินอาหารทะเล อยากกินไข่แมงดาไม่ได้กินมานานแล้ววันนี้ที่บ้านก็เลยพาไปกินอาหารทะเลข้างนอกก็ขับรถออกจากบ้านตั้งแต่ก่อนเที่ยงไปถึงสมุทราสาคร พอไปถึงร้านอาหารเมนูแรกที่เราสั่งก็คือเอาไข่แมงดาทะเลเผา แต่ก็ต้องผิดหว้งเพราะเขาบอกว่าหน้านี้ไม่มีไข่แมงดา แมงดามันไม่ออกไข่หน้าฝนก็เลยอดกินไปแอบผิดหวังเล็กน้อยก็สั่งเมนูอื่นแทน ระหว่างที่กินอาหารอยู่นั้นก็มีโต๊ะๆนึงมากินกันทั้งครอบครัวเลยเป็นครอบครัวใหญ่คงเป็นคนเชื้อสายจีนด้วยฟังจากสำเนียงที่เขาพูดกัน ตอนนั้นโต๊ะเราสั่งข้าวผัดปูมากินเราก็ตักข้าวผัดปูใส่จานกินไปสักพักอยู่ดีๆก็ได้ยินอาม่าโต๊ะนั้นพูดกับหลานเขาซะเสียงดังเชียวสำเนียงจีนๆหน่อยพูดว่า "ข้าวไม่ต้องกินเยอะก็ได้เดี๋ยวโง่ กินกับเยอะๆจะได้ฉลาด อาม่ากินแต่กับเห็นไหม" ไอ้เรากำลังตักข้าวผัดปูใส่ปากนิจี๊ดเลย ทำไมถึงคิดว่ากินข้าวแล้วโง่หละเขาไปเอาความเชื่อนี้มาจากไหน เกิดมาก็ไม่เคยได้ยินมานะกินข้าวแล้วโง่เนี่ย คนไทยก็ปลูกข้าวเป็นอาหารหลักในประเทศเหมือนกันกินกันตั้งแต่บรรพบุรุษหรือเป็นเพราะสาเหตุนี้คนเชื้อจีนเลยดูฉลาดกว่าคนไทยถ้าเปรียบเทียบทั้งความฉลาดและความขยัน แต่ลองมานั่งนึกดูแล้วคนที่ประสบความสำเร็จในสังคมเราส่วนใหญ่ก็เชื้อสายจีนเยอะนะลองนึกดูสิ อาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ก็ได้นะประเทศเราเลยเป็นประเทศกำลังพัฒนาอยู่ทุกวันนี้ไม่เคยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วเลยเพราะเรากินแต่ของเพิ่มความโง่กัน555

Wednesday, July 1, 2009

เหี้ย

วันนี้อ่านข่าวสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่าเสนอให้เปลี่ยนชื่อ "เหี้ย" เป็น "วรนุช" เพราะเหี้ยมีชื่อ วิทยาศาสตร์ว่า Varanus salvator หรือถ้าอ่านเป็นภาษาไทย ก็อาจจะอ่านว่า วรนุช (มันอ่านกันยังไงเป็นวรนุชเนี่ย) เพราะชื่อเดิมคนสวนใหญ่ก็จะคิดว่าเป็นสัตว์ที่น่ารังเกียจ จริงๆแล้วสัตว์ตัวนี้มันก็มีหลายชื่อไม่ใช่หรอคนในประเทศก็เรียกกันทั้ง ตะกวด ตัวเงินตัวทอง แต่ที่ติดปากก็จะเป็น เหี้ย เราคิดว่าไม่เห็นจะต้องเปลี่ยนชื่อสัตว์เลยมันก็อยู่ของมันตามปกติแต่คนเนี่ยแหละที่ไปตั้งชื่อ แล้วไปๆมาๆก็เอาชื่อมันมาเป็นคำด่าทอกันคำๆนี้ก็เลยเป็นตัวแทนของสิ่งที่น่ารังเกียจไป ถ้าวันไหนอยู่ดีๆคนไทยใช้คำว่า หมีแพนด้า เป็นคำด่าทอกันอย่างงี้ไม่ต้องเปลี่ยนกันอีกหรอ ภาษามันมีอิทธิพลในตัวของมันจริงๆเพราะเราก็เคยเปลี่ยนชื่อมาแล้วเหมือนกันเนื่องจากชื่อเดิมมีตัวอักษรกาลกิณีจริงๆเราก็ไม่อยากเปลี่ยนหรอกแต่โดนบังคับให้เปลี่ยนในช่วงมัธยมเดิมเราชื่อ ธีรนันท์ แต่เปลี่ยนเป็น พลวัฒน์ แทน ในปัจจุบันก็มีของหลายอย่างที่ให้ตั้งชื่อใหม่เพราะชื่อเดิมไม่เป็นมงคลเช่น ต้นลั่นทม ก็เปลี่ยนชื่อให้เป็น ลีลาวดี ,แห้ว ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น สมหวัง แต่ก็มีคนที่ยังเรียกชื่อเดิมอยู่เพราะติดปาก เราก็คิดว่าอย่างั้นทำไมเราไม่เปลี่ยนชื่อคำว่า "สัตว์" เป็นคำอื่นแทนละเพราะคำๆนี้มันก็เป็นคำด่าเหมือนกันนิแล้วแล้วถ้าจะตั้งชื่อใหม่จะเป็นอะไรดีเนี่ย

Friday, June 26, 2009

Perfectionist

วันนี้ได้นั่งรถไฟฟ้าBTS กลับบ้านเนื่องจากกลับรถมหาลัยไม่ทันในระหว่างที่นั่งเริ่มจากสถานีอนุเสาวรีย์เราก็นั่งมองคนนู๊คนนี้ไปเรื่อยก็คิดไปต่างๆนาๆว่าทำไมคนชอบยืนหลบมุมใกล้ประตูทางออก ทำไมคนชอบเห็นแก่ตัวยืนเอาหลังพิงเสากลางรถไฟฟ้าแทนที่จะให้คนอื่นเขาใช้จับยึดไว้ ทำไมผู้หญิงชอบหิ้วกระเป๋าแบรนด์เนมกันเยอะจังมองลายตามากไม่รู้จริงหรือปลอมทั้ง Gucci LouisVuitton ทำไมกลางลู่ในรถไฟฟ้าว่างๆแทนที่จะเดินเข้ามาดันชอบยืนออเบียดกันไอ้หน้าทางออกแล้วคนอื่นเขาก็ไม่มีทางเข้า คิดนู๊นี้ไปเรื่อย พอไปถึงสถานีพญาไทอยู่ดีๆประตูรถไฟฟ้าก็ปิดไม่ได้เปิดสักพักก็มีประกาศว่าเกิดเหตุขัดข้องขออภัยในความไม่สะดวก แต่รอสักพักก็ปิดได้ระหว่างที่วิ่งจากพญาไทกำลังจะไปสถานีชิดลมอยู่ดีๆรถไฟฟ้าก็หยุดอยู่กลางลูวิ่งยังไม่ถึงสถานีชิดลม คนในรถไฟฟ้าก็เริ่มงงๆและตอนนั้นว่าเกิดอะไร สิ่งแรกที่เราคิด ณ ตอนนั้นคือแล้วจะถึงบ้านไหมวันนี้ ถ้ามันขยับไม่ได้จะเดินไปยังไงค้างกลางลูซะขนาดนั้นแล้วถ้ามีรถไฟฟ้าอีกคันวิ่งชนจากด้านหลังขึ้นมาละจะหนียังไง สมองในตอนนั้นคิดแต่เรื่องแบบนั้นจริงๆ แต่สักพัก 3-4 นาทีรถไฟฟ้าก็กลับมาวิ่งได้เหมือนเดิม เราก็มานั่งคิดว่าทำไมเรามองโลกในแง่ลบจังเลยว่ะรู้สึกไม่มีอะไรได้ดังใจเลยบนโลกใบนี้ แทนที่จะคิดแต่เรื่องดีๆมองแต่ในแง่ลบไปซะทุกสิ่งก็ไม่รู้ว่าจะคิดไปทำไมเหมือนกันไอเเรื่องที่คิดๆมาตั้งแต่นั่งรถไฟฟ้าคิดแล้วก็เครียดแต่ก็ห้ามความคิดไม่ได้ เลยนึกถึงคำว่า Perfectionist ขึ้นมาเพราะพี่เราก็เคยทักเราแบบนี้เห็นเราเคร่งเครียดกับทุกอย่างเกินไปแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเราคงไม่ได้บ้าถึงขนาดนั้น เลยลองหาข้อมูลดูว่ามันเป็นยังไงไอ้โรคนี้ ก็ได้ข้อมูลดังนี้
ปัญหาของคุณสมบูรณ์แบบคือ เมื่อเป็นคุณแม่คุณพ่อ ภรรยาสามี หรือเจ้านายแล้วจะตั้งเป้าไว้สูง ทำให้รู้สึกผิดหวังว่า ทำไมคนอื่นๆ ถึงทำอะไร "ไม่ได้ดังใจ" ลักษณะเฉพาะที่จะช่วยบอกว่า เราเป็นคนสมบูรณ์แบบหรือไม่ คือ "มาตรฐานที่ยืดหยุ่นไม่ได้" ข้อที่มักจะดีของคุณสมบูรณ์แบบ คือ มักจะทำงานทำการได้ดีและได้มาตรฐานสูง แต่ถ้าไปทำงานกับคนอื่นจะชอบวิพากษ์วิจารณ์(คนอื่น) หรือรู้สึกว่า คนรอบข้างทำอะไรไม่ได้ดังใจ... ไปที่ไหนก็ทำให้คนอื่นอึดอัดลำบากใจไปหมด

คนบุคลิกเจ้าระเบียบจะมีลักษณะประจำดังต่อไปนี้

  • สนใจเรื่องต่างๆ ในรายละเอียดปลีกย่อยมาก มักดูแลความสะอาดเรียบร้อยของร่างกายและเครื่องแต่งตัวเป็นอย่างดี ทรงผมหวีเรียบแป้ล ใบหน้าสะอาดสะอ้าน ผู้หญิงเจ้าระเบียบจะแต่งหน้าอย่างประณีตบรรจง เช่น ประดิดประดอยเขียนคิ้วทั้ง 2 ข้างให้โค้งและมีขนาดเท่ากันเปี๊ยบ ไม่ชอบให้เครื่องแต่งกายมีรอยยับย่น ไม่ชอบให้รองเท้ามีรอยถลอก ผู้หญิงเจ้าระเบียบจึงมักใช้เวลาพิถีพิถันแต่งหน้าและแต่งตัวนานเป็นพิเศษ และมักหงุดหงิดที่เห็นคนอื่นแต่งกายไม่เรียบร้อย หรือขมวดคิ้วไม่พอใจหากเห็นคนรอบข้างไว้ทรงผมยุ่งกระเซิง
  • หมกมุ่นกับความรับผิดชอบมาก มีความยุติธรรมและคุณธรรมดีเลิศ จะไม่ยอมผิดเวลานัดรวมไปถึงคาดหวังให้ผู้อื่นรักษาเวลานัดหมายดีไปด้วย ซึ่งมักจะผิดหวัง คนเจ้าระเบียบจึงทุ่มเทให้กับการทำงานมากจนขาดการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น
  • ใช้ชีวิตประจำวันซ้ำๆ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เช่น กินอาหารร้านประจำซ้ำๆ หรือขับรถเส้นทางเดิมๆ ไม่ค่อยยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นหรือวิวัฒนาการใหม่ๆ และต้องการให้คนอื่นทำตามความคิดเห็นของตนเองเสมอ จึงมีลักษณะดื้อรั้น
  • ไม่ค่อยกล้าตัดสินใจเพราะกลัวผิด กลัวถูกตำหนิหรือผิดศีลธรรม
  • เครียดง่าย คนอยู่ใกล้ไม่รู้สึกอบอุ่นและไม่ชอบการพักผ่อนหย่อนใจ เพราะฉะนั้นชีวิตส่วนตัวจึงแห้งแล้งไม่ค่อยมีความสุข
เราคงจะเป็นโรคนี้โดยไม่รู้ตัวแล้วแต่ยังดีที่มีวิธีแก้ไขมันคงจะแก้ไม่ได้ง่ายๆก็มันเป็นตั้งแต่เกิดแล้วนิให้ทำไง ใครอยากอ่านบทความโรคนี้เข้าเว็บนี้ 9 วิธีป้องกัน+รักษานิสัยคุณสมบูรณ์แบบ(perfectionist) , PERFECTIONIST

Wednesday, June 17, 2009

ซื้อมาทำไม

เมื่ออังคารที่ผ่านมามีบรรจุภัณฑ์ส่งมาให้ที่บ้านพอเปิดดูก็เป็นแผ่นเพิ่มความสูงแบบซิลิโคนที่เราให้พี่สั่งให้ตอนก่อนเปิดเทอมพึ่งได้มา ตอนแรกไม่คิดว่าจะสั่งมาใส่เล่นกะจะสั่งให้ของขวัญเพื่อนคนนึง แต่ด้วยความอยากได้เลยแอบเก็บไว้เอง มันเอาไว้ใส่ในรองเท้าเพื่อเพิ่มความสูงมีหลายระดับให้ซื้อตั้งแต่สูงเพิ่ม 3cm-8cm เราซื้อแบบ 4cm มามันถอดปรับระดับได้เป็นชั้นๆแล้วแต่ว่าเราอยากจะสูงเท่าไหร่ ด้วยความที่เราสูง 175 แต่มีความรู้สึกว่าตัวเองยังเตี้ยอยู่อยากสูงขึ้นอีกถ้าใส่มันไปก็จะบวกอีก 4cm แล้วใส่รองเท้าหุ้มข้ออีกพื้นรองเท้าก็น่าจะสูงสัก 2cm บวกกันเราก็น่าจะสูงเพิ่มเป็น 181cm พอใส่แล้วดูสูงดีมากรู้สึกชอบ พอวันพุธเราก็ออกไปข้างนอกโดยใส่ซิลิโคนชิ้นนี้แหละ เดินไปสักพักมีความรู้สึกว่าเดินไม่ถนัดเลยเดินไปแถบจะลากรองเท้าไปมันไม่ได้หนักหรอกตัวซิลิโคนแต่เป็นเพราะเราไม่ชินกับมันเองมั้งมีแอบข้อเท้าพลิกนิดนึง เดินเที่ยวไปสักชั่วโมงสองชั่วโมงรู้สึกเริ่มเมื่อยและก็รำคาญมันมากไม่อยากจะใส่มันเพราะมันลากเท้าก็เลยแอบไปถอดชั้นมันออก 2 ชั้นเหลือสูงแค่ 2.4cm มันก็เดินถนัดขึ้นแต่ก็ยังลากเท้าอยู่นิดหน่อย สักพักขี้เกียจใส่และรำคาญก็เลยไปถอดมันออกหมด พี่เราก็หันมาถามเราว่าจะซื้อมาทำไมเนี่ยเอาตังไปซื้ออย่างอื่นดีกว่าไหม พอมาคิดดูเราจะบ้าหรือเปล่าเนี่ยซื้อของอะไรไร้สาระมากมันเอาไว้ให้สำหรับคนที่เตี้ยใส่เขาจะได้มั่นใจขึ้นเวลาทำอะไร แล้วเราจะใส่ทำไมเราก็ไม่ได้เตี้ยไรมาก นึกถึงวิชา contemporary in communication design เราคงจะเป็นหนึ่งในพวกบริโภคนิยมแล้ว ปล.ใครยากซื้อต่อเราคุยหลังไมค์ไม่อยากได้แล้ว 555

Tuesday, June 9, 2009

ประโยชน์ของคลิบหนีบกระดาษ

พอดีวันนี้ตอนเช้ากำลังจะขึ้นรถมหาลัยเหลือบไปเห็นนักศึกษาหญิงกลุ่มนึงที่บริเวณเข็มขัดเห็นเขาหนีบคลิบหนีบกระดาษสีดำเอาไว้ที่เข็มขัดกับกระโปรงก็เลยสงสัยว่าทำไมเขาถึงต้องหนีบมัน จะเป็นเพราะเข็มขัดไม่มีห่วงให้ล็อคเพื่อเก็บปลายเข็มขัดที่มันยาวออกมาเกินหรอหรือเพราะว่ากระโปรงนักศึกษาหญิงเขาไม่มีห่วงที่เอาไว้ใช้สำหรับคาดเข็มขัดก็เลยลองไปถามเพื่อนผู้หญิงคนนึงก็ได้คำตอบมาว่าเหตุผลที่ต้องใช้คลิบหนีบดำหนีบเอาไว้ระหว่างเข็มขัดกับขอบกระโปรงก็เพราะว่าเวลาผู้หญิงนั่งเข็มขัดมันจะเด้งขึ้นมาเนื่องจากกระโปรงมันไม่มีห่วงเอาไว้คาดเข็มขัดเหมือนกางเกงผู้ชายบางคนอาจจะรำคาญมันก็เลยหนีบเอาไว้เพื่อให้มันล็อคไม่เลื่อนหรือเด้งไปมา มันทำให้เห็นว่ากระโปรงนักศึกษาไทยยังถูกออกแบบมาไม่ดีพอ

Monday, June 8, 2009

มาสคอตแมคโดนัลด์


วันนี้ไปเดินซื้อของที่ Centralworld พอดีเดินผ่านร้าน Mcdonald ชั้น 2 แถบใกล้ๆทางเข้า Isetan ก็ได้เห็นมาสคอตตั้งกระจายอยู่บริเวณชั้นนั้น 3 ตัวแต่ละตัวก็แสดงท่าทางแตกต่างกันไปบางตัวก็โบกมือบ๊าบบาย บางตัวก็ยกมือไหว้ โดยเฉพาะตัวที่ยกมือไหว้นี้ไม่รู้ว่ามีเฉพาะประเทศไทยประเทศเดียวหรือเปล่า ถ้าเป็นของประเทศอื่นๆเช่นญี่ปุ่นจะเจอแบบโค้งคำนับกันไหม ก็เลยลอง search ดูในเน็ตเล่นๆว่ามาสคอตแมคประเทศอื่นเขามีท่าทางที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรมประเทศเขาแบบที่เรามีไหม แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ แต่ลองหาข้อมูลไปเรื่อยๆก็ได้รู้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกของโลกที่ทำหุ่น mc ยกมือไหว้ซึ่งต่างจากประเทศอื่นที่ทุกแห่งจะแสดงอาการเชื้อเชิญ หรือนั่งบนเก้าอี้  ที่ร่ายบทความมาตั้งแต่ต้นมันก็ไม่ได้มีอะไรหรอกแค่สังเกตเห็นว่ามาสคอตตัวที่ยกมือไหว้ทุกตัวจะมีจะงอยผมสองแฉกอยู่บนหน้าผากซึ่งตัวอื่นมันไม่มีทำไมถึงมีไม่รู้ต้องการบอกแค่นี้แหละพอดีไปเห็นมา

Sunday, June 7, 2009

ความสุขเล็กๆน้อยๆในชีวิต

เวลาว่างผมมักจะไปอ่านข่าวในกระทู้ต่างๆตามเว็บกระปุกเป็นประจำ ในกระทู้ข่าวก็สามารถที่จะให้คนที่มาอ่านกระทู้ข่าวแสดงความคิดเห็นเรื่องต่างๆได้ แต่ถ้าเราอ่านข้อความแสดงความคิดเห็นเป็นประจำจะสังเกตได้ว่าจะมีหลายบทความเหมือนกันที่คนที่โพสเป็น "คนแรก" ในหน้านั้นมักจะโพสข้อความที่เราสามารถที่จะเดาได้เลยว่า 3 ใน 10 ของบทความหรือในหน้าข่าวต่างๆจะโพสแสดงความคิดเห็นกันว่าอย่างไร ข้อความที่คนพวกนั้นมักจะโพสคือโพสว่า "ตนเองได้ที่ 1 " บางคนไม่ได้ที่ 1 ก็เขียนว่าที่ 2 บ้าง 3 บ้างแล้วแต่ลำดับซึ่งมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบทความอะไรเลยในหน้านั้นและนับวันก็รู้สึกว่าจะเยอะขึ้นเรื่อยๆที่คนจะพยายามแข่งกันหรือแย่งกันโพสเพื่อให้ตนเองได้ที่ 1 มันก็ทำให้ผมรู้ว่าการโพสข้อความได้เป็นคนแรกก็เป็นความสุขเล็กๆในชีวิตได้เหมือนกัน คนถึงแย่งกันเพื่อที่จะได้มันมา